วันพฤหัสบดีที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2558



 ความรู้พื้นฐานทางประวัติศาสตร์
 ความหมายและความสำคัญของประวัติศาสตร์
                ประวัติศาสตร์  เป็นวิชาที่ว่าด้วยพฤติกรรมหรือเรื่องราวของมนุษย์ที่เกิดขึ้นในอดีต  ร่องรอยที่คนในอดีตสร้างเอาไว้  เป้าหมายของการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ คือ  การเข้าใจสังคมในอดีตให้ใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากที่สุด  เพื่อนำมาเสริมสร้างความเข้าใจในสังคมปัจจุบัน
                ความสำคัญของประวัติศาสตร์ สามารถสรุปได้ดังนี้
                 1.  ประวัติศาสตร์ช่วยให้มนุษย์รู้จักตัวเอง   กล่าวคือ   ทำให้รู้บางสิ่งบางอย่างเกี่ยวกับขอบเขตของตน   ขณะเดียวกันก็รู้เกี่ยงกับขอบเขตของคนอื่น
                     2.  ประวัติศาสตร์ช่วยให้เกดความเข้าใจในมรดก   วัฒนธรรมของมนุษยชาติ   ความรู้   ความคิดอ่านกว้างขวาง   ทันเหตุการณ์   ทันสมัย   ทันคน   และสามารถเข้าใจคุณค่าสิ่งต่างๆในสมัยของตนได้
                    3.  ประวัติศาสตร์ช่วยเสริมสร้างให้เกิดความระมัดระวัง   ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์   ฝึกฝนความอดทน   ความสุขุมรอบคอบ   ความสามารถในการวินิจฉัย   และมีความละเอียดเพียงพอที่จะเข้าใจปัญหาสลับซับซ้อน
                     4.  ประวัติศาสตร์เป็นเหตุการณ์ในอดีตที่มนุษย์สามารถนำมาเป็นบทเรียน   และประยุกต์ใช้ในกระบวนการแก้ไขปัญหาและวิกฤตการณ์ต่างๆ ให้เป็นไปตามหลักจริยธรรม  คุณธรรม ทั้งนี้เพื่อสันติสุขและพัฒนาการของสังคมมนุษย์เอง

ลักษณะและประเภทของหลักฐานทางประวัติศาสตร์
                หลักฐานทางประวัติศาสตร์  หมายถึง  ร่องรอยของสิ่งที่มนุษย์ประดิษฐ์  สร้างสรรค์  รวมทั้งร่องรอยของพฤติกรรมที่เกิดขึ้นในอดีต  และเหลือตกค้างมาถึงปัจจุบัน  ซึ่งสามารถใช้เป็นเครื่องนำทางในการศึกษา  สืบค้น  แสวงหาข้อเท็จจริงเกี่ยงกับเรื่องราวในอดีตของมนุษย์ได้ในระดับหนึ่ง
                หลักฐานทางประวัติศาสตร์ของไทยแบ่งออกเป็น  2   ประเภท  ตามแบบสากล คือ 
           1.  หลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษรได้แกจารึกบันทึกจดหมายเหตุร่วมสมัย   ตำนาน พงศาวดาร     วรรณกรรมต่างๆ  บันทึกความทรงจำ  เอกสารราชการ  หนังสือพิมพ์  กฎหมาย  งานวิจัย  งานพิมพ์ทางประวัติศาสตร์ เป็นต้น  (  ผนังถ้ำที่เป็นรูปวาดแต่สามารถแปลความหมายได้  จะถือว่าเป็นหลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษร  เช่น  ผนังขิงสุสานฟาโรห์  )


           2.  หลักฐานที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร  ได้แก่  หลักฐานทางโบราณคดี  หลักฐานจากการบอกเล่าและสัมภาษณ์  หลักฐานด้านศิลปกรรม  สถาปัตยกรรม  นาฏกรรมและดนตรี  หลักฐานทางมานุษยวิทยาและสังคมวิทยา  เช่น  ขนบธรรมเนียมประเพณี  คติความเชื่อ  วิถีชีวิตของกลุ่มชนต่างๆ  ฯลฯ  (  กำแพงเมือง  เมืองโบราณ  โครงกระดูก  นับว่าเป็นหลักฐานที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร )




ข้อมูลทางประวัติศาสตร์ไทยจะอาศัยหลักฐานทั้งที่เป็นลายลักษณ์อักษร  และไม่เป็นลายลักษณ์อักษร  โดยแบ่งความสำคัญของหลักฐานออกเป็น  2  กลุ่ม  คือ
           1.หลักฐานชั้นต้น  หรือ  หลักบานปฐมภูมิ (Primary  Sources )  หมายถึง  บันทึกหรือคำบอกเล่าของผู้พบเห็น  หรือผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์  หรือผู้ร่วมสมัยกับเหตุการณ์  จดหมายเหตุ  บันทึกการเดินทาง  หลักฐานทางโบราณคดี  แผนที่  ลายแทง  เป็นต้น
         2. หลักฐานชั้นรอง  ( Secondary  Sources )  หมายถึง  ผลงานการค้นคว้าที่เขียนขึ้น  หรือเรียบเรียงขึ้นภายหลังเกิดเหตุการณ์นั้นแล้ว โดยอาศัยหลักฐานขั้นต้นประกอบ  อาจเพิ่มเติมความคิดเห็น  หรือเหตุผลอื่นๆ ประกอบ  ส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปของเอกสารต่างๆ  เช่น พงศาวดาร  ตำนาน  เป็นต้น